วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เรื่อง สารท...สารท

 คำว่า สารท (อ่านว่า สาด) เป็นคำภาษาสันสกฤตว่า ศารท (อ่านว่า สา-ระ-ทะ) แปลว่า ใหม่ สิ่งที่เกิดจากการเพาะปลูกในฤดูร้อน หรือแปลว่า ปี ก็ได้. ในประเทศที่มี ๔ ฤดู เช่น ในอินเดียตอนเหนือ ฤดูสารท หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อฤดูร้อนกำลังจะหมดไป. ฤดูร้อน เป็นฤดูที่พืชผลเจริญงอกงาม เมื่อย่างเข้าปลายฤดูจึงเก็บเกี่ยวพืชผล  ชาวนาถือโอกาสนี้นำพืชผลที่เก็บเกี่ยวได้มาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น ทำกระยาสารท กระยาสารท คือของกินที่ทำด้วยข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งา กวนกับน้ำตาลน้ำอ้อย. การทำบุญนี้จึงเรียกว่า ทำบุญสารท หรือ สารท.
          ในประเทศไทยเรียกการทำบุญนี้ว่า สารท หรือ สารทเดือนสิบ คือเทศกาลทำบุญในวันสิ้นเดือน ๑๐ ทางจันทรคติ ซึ่งตกอยู่ในราวเดือนกันยายน
สารทเขมร VS สารทจีน
วันสารทจีน ตามปฏิทินทางจันทรคติ เทศกาลสารทจีนจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจีน เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
อาหารเซ่นไหว้วันสารทจีน


ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เงี่ยมล้อเทียนจือ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง
เทศกาลสารทจีน  ประเพณีสารทจีน  ขนมถ้วยฟู, กุยช่าย,ขนมเทียน ขนมเข่ง

อาหารที่ใช้เซ่นไหว้วันสารทจีน

อาหารที่ใช้เซ่นไหว้นอกจากหมูเห็ดเป็ดไก่แล้ว มักมีอีก 4 อย่าง คือ
  1. Baozi เปาจึ ซาลาเปา
  2. Jiaozi เจี่ยวจือ เกี๊ยวแบบเกี๊ยวจีน
  3. Mantou หมานโถว หมั่นโถว
  4. Pingguo ผิงกว่อ แอปเปิล

ขนมที่ใช้ไหว้

ในสมัยโบราณชาวจีนใช้ขนมไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า โหงวเปี้ย หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี
  • ปัง คือขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาล
  • เปี้ย คือขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่
  • หมี่ คือขนมหมี่เท้า ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าข้างในไส้เต้าซา
  • มั่ว คือขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดงตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง
  • กี คือขนมทึงกี ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาวเวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ
แต่ชาวไทยเชื้อสายจีนใช้ขนมเทียน ขนมเข่งในการไหว้ โดยหลักของที่ไหว้ก็จะมีของคาว 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา เป็นต้น ของหวาน 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ขนมเทียน ขนมมัดไต้ ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ

7 ข้อห้ามทำเมื่อถึงสารทจีน

  1. ห้ามแต่งงานในเดือนนี้
  2. ห้ามเดินทางบ่อยในเดือนนี้
  3. ห้ามอยู่นอกบ้านช่วงดึกดื่นในเดือนนี้
  4. ห้ามซื้อบ้าน / ห้ามย้ายบ้านในเดือนนี้
  5. ห้ามเริ่มงานก่อสร้างใดๆ ในเดือนนี้
  6. ห้ามดำเนินการเริ่มธุรกิจใดๆ ในเดือนนี้
  7. ห้ามว่ายน้ำตอนกลางคืนในเดือนนี้
ไงแซนโฎนตา (สารทชาวไทยเชื้อสายเขมร)
          ชาวไทย เชื้อสายเขมรในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรืองานสารท เพื่อทำบุญบูชา รำลึก และอุทิศอาหาร ข้าวของเครื่องใช้แก่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย หรือบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วเช่นเดียวกันกับกลุ่มคนไทยอื่นๆ แต่แตกต่างกันในขั้นตอนพิธีกรรม ปัจจุบันงานแซนโฎนตามีการปฏิบัติกันทั้งในครอบครัว หมู่บ้าน และจังหวัด จะทำพิธีในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมลูกหลาน หรือญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่อื่นหรือที่แยกครอบครัวจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ลูกสาวหรือลูกสะใภ้จะต้องเตรียมของฝาก “กันจือเบ็น” (กระเฌอสำหรับจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้)เป็น เสื้อผ้าเครื่องใช้มาส่งครอบครัวใหญ่ และจะช่วยกันจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ เสื้อผ้าเครื่องใช้ เพื่อใช้ในการเซ่นไหว้บรรพบุรุษของครอบครัว
          ในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เชื่อว่าเป็นวันที่บรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วเดินทางมาถึงโลก ชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกครอบครัวจะจัดเตรียมตั้งเครื่องเซ่นไหว้ที่บ้าน โดยจัดใส่กันจือเบ็นเพื่อญาติๆ ใช้สำหรับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การทำพิธีแซนโฎนตาโดยผู้อาวุโสก็จะเรียกถามหาลูกหลาน ญาติพี่น้องว่ามาพร้อมหน้ากันหรือยัง และให้มารวมกัน แล้วจะเริ่มเซ่นไหว้โดยจุดธูปเทียน ยกขันห้าไหว้และต่างก็พูดเรียกดวงวิญญาณบรรพบุรุษให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ แล้วรินน้ำให้ล้างมือ และรินเครื่องดื่ม เช่น เหล้า น้ำอัดลม ฯลฯ ชี้บอกให้รู้ว่ามีเครื่องเซ่นไหว้อะไรบ้าง เสมือนการมารายงานตัวต่อบรรพบุรุษว่าได้มารอต้อนรับแล้ว ในพิธีเซ่นไหว้ใช้เวลาประมาณ ๒๐ –๓๐ นาที เมื่อ ทำพิธีเสร็จแล้วลูกหลานญาติพี่น้องก็จะนำอาหารเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ มารับประทานร่วมกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในหมู่ลูกหลาน ญาติมิตร เพราะหนึ่งปี มีครั้งเดียว ลูกหลานที่ไปอยู่หมู่บ้านอื่นหรือต่างจังหวัดจะได้รู้จักคุ้นเคยกัน ในช่วงเย็นเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว พร้อมบอกให้วิญญาณบรรพบุรุษไปที่วัดเพื่อฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นพระสงฆ์จะทำพิธีมอบเครื่องเซ่นไหว้แก่บรรพบุรุษ แล้วกลับมาบ้านเตรียมปูที่นอนและเครื่องใช้สำหรับให้บรรพบุรุษ เชื่อว่าบรรพบุรุษจะค้างที่บ้านในคืนนี้ ก่อนสว่างก็จะทำเรือกาบกล้วย ใส่เงินกระดาษ ขนม อาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ และเสื้อผ้าของใช้ขนาดเล็ก จุดธูปเทียนแล้วลอยไปในแม่น้ำ หรือบ่อในบริเวณบ้านเพื่อเป็นการส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลับสู่ยมโลกก่อนสว่าง หากไม่ทำเรือส่งท่านก็จะกลับไปยมโลกไม่ได้ และจะติดค้างอยู่ในโลกกระทั่งถึงไงแซนโฎนตาอีกรอบนับเป็นการสร้างบาปและความ ทุกข์แก่วิญญาณบรรพบุรุษ
ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐  เช้าตรู่ชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกครอบครัวก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ไปวัดอีก เพื่อทำบุญอุทิศแก่ผีไม่มีญาติ
ไงแซนโฎนตาเป็นโอกาสที่ญาติๆ ที่อาศัยอยู่ที่อื่นได้กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ได้รับพรจากผู้ใหญ่ เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ทำให้เกิดความรักสามัคคีระหว่างเครือญาติ เกิดความเสียสละ เพราะเครื่องเซ่นไหว้ทุกคนมีส่วนหามา และมีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ไงแซนโฎนตา ถ้าลูกหลานคนใดไม่ได้จัดทำ หรือไม่มาร่วมพิธีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรบรรพบุรุษอาจไม่พอใจ อาจจะโยงเป็นเหตุให้ทำมาหากินไม่ราบรื่น จิตใจเกิดความกังวลไม่เป็นสุข ด้วยความเชื่ออย่างนี้ทุกคนจึงพยายามไปร่วมพิธี หรือไม่ก็จัดเครื่องเซ่นไหว้ที่บ้านของตน
          ในจังหวัด สุรินทร์นอกจากชาวไทยเชื้อสายเขมรแล้ว ยังมีชาวไทยกวยหรือกูย และชาวไทยเชื้อสายลาวที่มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรืองานสารทเหมือนกับชาวไทยเชื้อสายเขมร ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี
ขั้นตอนพิธีกรรมแซนโฎนตา มีดังนี้
1. การเตรียมอุปกรณ์เครื่องเซ่นไหว้
2. การเซ่นไหว้ศาลปู่ตาประจำหมู่บ้าน
3. การเซ่นไหว้ศาลพระภูมิประจำบ้าน
4. การประกอบพิธีกรรมแซนโฏนตาที่บ้าน
5. การประกอบพิธีกรรมบายเบ็น  (บายเบ็น หมายถึง ข้าวสารท, กระยาสารท)
6. การประกอบพิธีกรรมที่วัด นำของ
* เบ็นตุ๊จ หมายถึง สารทเล็ก
* เบ็นทม หมายถึง สารทใหญ่
โดยมีความเชื่อที่ว่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วและยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจะถูกปล่อยให้กลับบ้านมารับเครื่องเซ่นไหว้จากลูกหลานได้ปีละครั้ง นั่นก็คือวัน แซนโฎนตา โดยหากบ้านไหนที่ลูกหลานไม่ได้จัดเตรียมของคาวหวานเครื่องเซ่นไหว้ไว้ให้ บรรพบุรุษจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่บ้านอื่นเขามีเครื่องเซ่นไหว้กิ่น อิ่มหมีพีมัน แต่บ้านตัวเองลูกหลานไม่สนใจ ไม่นึกถึง บรรพบุรุษจะสาบแช่งญาติหรือลูกหลาน ทำให้หากินฝืดเคือง
แต่หากลูกหลานได้สำนึกนึกถึงและร่วมทำบุญแซนโฎนตา บรรพบุรุษจะอวยพรทำให้หากินเจริญรุ่งเรืองต่อไป อีกทั้งยังเป็นกุศโลบาย ที่ต้องการให้ญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นได้กลับมาเจอกัน สืบสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไป
    

อ้างอิง...
http://www.obec.go.th/news/27325
http://surinsandonta.blogspot.com/2014/09/blog-post.html
http://www.tekkacheemukkhor.com/Festival_sart-china.php